นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับทราบปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กที่ได้รับผลกระทบจากการทุ่มตลาดของประเทศเพื่อนบ้าน จึงได้ออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กไทยแบบครอบคลุม และสนับสนุนการใช้มาตรการตอบโต้และปกป้องทางการค้า
โดยการเริ่มต้นเรียกเก็บอากรกับเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดเป็นม้วนและไม่เป็นม้วนเจืออัลลอย และเพิ่มความเข้มข้นในการยกระดับการควบคุมผลิตภัณฑ์เหล็กทุกชนิด โดยการประกาศเป็นมาตรฐานบังคับเพิ่มอีก 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ลวดชุบแข็งและอบคืนตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรง, เหล็ก EG, เหล็ก GI และ เหล็กอลูซิงค์ พร้อมทั้งกำชับให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควบคุมการนำเข้าและจำหน่ายเหล็กอย่างเข้มงวดทุกช่องทางด้วย
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเหล็ก เป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีความจำเป็นต่อการผลิต การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงในภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่อง หากเหล็กไม่ได้มาตรฐานจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยของประชาชน จึงต้องควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นทางโดยการประกาศเป็นสินค้าควบคุม เพื่อสกัดกั้นการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานเข้ามาในประเทศ เพื่อให้การแข่งขันทางธุรกิจอยู่ภายใต้กติกาเดียวกัน
"สิ่งสำคัญที่ประชาชนต้องรู้ในการเลือกซื้อเหล็ก คือ ต้องดูเครื่องหมาย มอก. และ QR Code ที่ติดอยู่บนป้ายสินค้าทุกครั้ง ซึ่งเมื่อสแกน QR Code ก็จะเห็นใบอนุญาตที่ระบุชื่อผู้ได้รับอนุญาต ชื่อผู้ผลิต สถานที่ที่ผลิต หรือชื่อผู้นำเข้า ประเทศที่นำเข้า รายละเอียดของผลิตภัณฑ์ แบบ รุ่น โมเดล และเครื่องหมายการค้า เพื่อยืนยันว่าเป็นเหล็กที่ได้มาตรฐานและได้รับอนุญาตจาก สมอ. จริง” นายเอกนัฏ กล่าว
นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ได้ดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยเพิ่มความเข้มข้นในการยกระดับการควบคุมสินค้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ในปี 2567-2568 จะประกาศเพิ่มอีก 58 มาตรฐาน จากปัจจุบัน 144 มาตรฐาน และที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ อีก 4 มาตรฐาน ได้แก่ ลวดชุบแข็งและอบคืนตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรง และเหล็กแผ่นเคลือบอีก 3 มาตรฐาน
โดย "ลวดชุบแข็งและอบคืนตัวสำหรับคอนกรีตอัดแรง” ถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของโครงสร้างอาคารหรือสะพาน เช่น เสาเข็ม แผ่นพื้น คาน และชิ้นส่วนประกอบของงานโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ เป็นต้น จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป สำหรับ “เหล็กแผ่นเคลือบ” ซึ่งนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น กันสาด ราวบันได และรั้ว ฯลฯ จะมีผลบังคับใช้อีก 3 มาตรฐาน ได้แก่
1) เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีทางไฟฟ้า หรือ “เหล็ก EG” จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป 2) เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน หรือ “เหล็ก GI” และ 3) เหล็กกล้าทรงแบนเคลือบอะลูมิเนียม 55% ผสมสังกะสี โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน หรือ “เหล็กอลูซิงค์” จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มีโทษจำคุก ไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากฝ่าฝืนจำหน่ายสินค้าไม่ได้มาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน มีโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ทั้งนี้ สมอ. ได้เตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการโดยการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์และวิธีการในการตรวจสอบเพื่อการอนุญาต กระบวนการยื่นขออนุญาตและการตรวจติดตามภายหลังได้รับใบอนุญาต ไปแล้ว เมื่อวันที่ 3 - 4 ธันวาคม 2567 ทั้งในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมสัมมนากว่า 500 คน